Home ข้อคิดดีๆ อยากให้เรื่องนี้เตือนสติ อย่าคิดว่าตัวเองถูกต้องทุกอย่าง อย่าเป็นศูนย์กลางจักรวาล

อยากให้เรื่องนี้เตือนสติ อย่าคิดว่าตัวเองถูกต้องทุกอย่าง อย่าเป็นศูนย์กลางจักรวาล

10 second read
0
0

โลกนี้มี “ คนเก่ง ” มากมาย แต่คนเก่งที่ “ไม่มีคุณธรรม” ก็มีไม่น้อย เพราะ เอาแต่คิดว่า ข้าเก่ง ข้าแน่ ทุกคนต้องยอมรับในความคิดของข้าเป็นคนเก่งนั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่แค่เก่งมันยังดีไม่พอต้องรู้จักวางตัวด้วย ชีวิตคน บางที ต้องเลี้ยวบ้าง อ้อมบ้าง จะตรงไปข้างหน้าตลอดมันก็ไม่ได้

โบราณว่า… ขุนเขาตั้งอยู่ไม่เปลี่ยน ก็ให้เปลี่ยนเส้นทาง เส้นทางไม่เปลี่ยนแปลง ตามนักเดินทาง นักเดินทางต้องรู้จักเลือกเดินเอง ขอแค่เป็นทางอันถูกควร อ้อมบ้างก็ไม่เห็นเสียหายอะไร น้ำสามารถไหลไปรวมกันจนเป็นมหาสมุทรได้ก็เพราะสามารถหลบหลีกอุปสรรครู้จักลดเลี้ยวรู้จัก อ่อน แข็ง ตามสถาณะการณ์

คนเก่งจะกลายเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ได้ บางครั้งก็ต้องรู้จัก ทำตัวให้เหมือนน้ำ อย่าคิดว่าตัวเองเก่งแล้วเที่ยวไปตัดสินคนนั้นคนนี้ ยิ่งสูงเท่าไรยิ่งต้องโน้มตัวลงให้ติดพื้นเท่านั้น ทุกคนล้วนมีศักดิ์ศรีเหมือนกัน มีความเป็นคนเท่าเทียมกัน

ไม่ว่าเก่งแค่ไหนก็อย่าได้ไปเที่ยว ดู ถู ก ใคร “เลิก” เสีย แล้วเชื่อว่าคุณจะสร้างโอกาสไปสู่ชีวิตที่ดีได้อีกมากโขทีเดียวล่ะครับ

1. เลิกคิดว่าคนอื่นไม่เข้าใจตัวเอง / ไม่มีใครเป็นแบบฉัน

เอาจริงๆ มันก็ไม่มีใครที่จะมีประสบการณ์แบบเรา 100% เพราะแต่ละคนก็ล้วนมีปัจจัยท่ีแตกต่างกันไปแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะเข้าใจและเข้าถึงตัวเราไม่ได้ การไปตราหน้าเขาว่าไม่เข้าใจ ไม่รู้จักตัวเรามันก็กลายเป็นการสร้างอคติให้ตัวเราเองจนไม่สามารถฟังความเห็น

หรือมุมมองจากคนอื่นในประสบการณ์ของผมนั้น คนเก่งๆ และคนที่สามารถสร้างทางชีวิตไปสู่สิ่งดีๆ นั้นคือคนที่เปิดรับมุมมองจากคนอื่นเพื่อทำให้ตัวเอง “เห็นรอบ” มากขึ้นก่อนจะสามารถเลือกเดินได้อย่างดี ทั้งนี้เพราะพวกเขาจะเห็นอะไรมากกว่าที่เขามองด้วยตัวเองเพียงคนเดียวแม้ว่าใครๆ ก็อาจจะไม่ได้เข้าใจคุณ 100%

แต่บางอย่างจากประสบการณ์ของพวกเขาก็อาจจะเคยผ่านอะไรที่คล้ายๆ กัน เทียบเคียงกันได้ บ้างก็อาจจะเคยเจออะไรที่หนักกว่าเราเสียด้วยซ้ำ มันเลยน่าจะเป็นเรื่องดีที่ลองฟังเรื่องราวและมุมมองจากเขาแล้วเอามาประกอบการวิเคร าะห์ ของเราเอง (แทนที่จะปิดกั้นตั้งแต่ยังไม่ทันรู้)นอกจากนี้แล้ว

สิ่งสำคัญที่ทำให้เราโตขึ้นคือการได้สะสมประสบการณ์ต่างๆ ซึ่งการเรียนรู้จากประสบการณ์คนอื่นๆ ย่อมดีกว่าการที่เราสนใจแต่ประสบการณ์ของตัวเราเองคนเดียวนั่นแหละ

2. เลิกเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล

ฟังคนอื่นมั่ง – คือสิ่งที่ผมมัก บอกหลายๆ คนที่มักเอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง ประเภทชั้นทำอะไรถูกเสมอ ชั้นมีเหตุผลของชั้นและเหตุผล ของชั้นนั้นเพียงพอสำหรับทุกๆ อย่าง และพอมากๆ เข้าก็กลายเป็นว่าทุกอย่างในชีวิตต้องเป็นไปตามที่ตัวเองคิดสิ่งที่คนอื่นพูดมานั้นหากไม่ใช่การยอมรับ

หรือเห็นด้วยก็ จะมองว่าไม่เข้าข้าง คิดผิด และปฏิเสธความคิดเหล่านั้นไปเสียหมดที่หนักๆ คือหลายๆ คนได้เจอคนดีๆ เข้ามาตักเตือนก็ไม่ฟัง หาว่าคนเหล่านั้นไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ตัวเอง ฯลฯ ผมมักพูดเสมอว่ามันมีเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างความเชื่อมั่นในตัวเองกับการหลงตัวเอง

ซึ่งถ้าเราตั้งสติและแยกแยะไม่ดีแล้วเราจะข้ามเส้นไปสู่การทนงและเต็มไปด้วย E g o ชนิดที่ไม่ยอมรับเหตุผลอื่นๆ ซึ่งอาจจะถูกหรือดีกว่าที่เราคิดด้วยซ้ำนอกจากนี้แล้ว

ชีวิตของเรายังมีคนมากมายที่อาจจะเก่งกว่าเรา รู้มากกว่าเรา มีประสบการณ์มากกว่าเรา มีวิสัยทัศน์มากกว่า เราซึ่งคนเหล่านี้ในมุมหนึ่งเหมือนครู / เทวดาของเราที่ช่วยเตือนหรือแนะนำ ทางที่ใช่ให้กับเรา แน่นอนว่าคำแนะนำบางอย่างอาจจะขัดใจหรือไม่ตรงกับที่เราคิด แต่ก็นั่นแหละที่คำแนะนำเหล่านั้นหลายๆ ครั้ง

ทำให้เราเปลี่ยนวิธีคิดไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้ ชีวิตผมเองก็ได้คนเหล่านี้ช่วยแนะนำและขัดเกลาตัวผมมาตลอดลองดูสิครับ ลองเปิดใจฟังคำแนะนำ คำตัก เตื อ น ของคนที่คนมองว่าน่าเชื่อถือและปรารถนาดีกับคุณ อย่าฟังแต่เฉพาะเสียงที่เยินยอ

สรรเสริญคุณหรือปลอบแบบเห็นอกเห็นใจคุณโดยไม่สนผิดถูก (ซึ่งเอาจริงๆ เสียงเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวและพึงระวังเสียอีกต่างหาก) เพราะนั่นอาจจะเป็นการสร้างกะลามาครอบตัวคุณโดยไม่รู้ตัว

3. เลิกเอาตัวเองไปตาม / เทียบกับคนอื่น

หนึ่งในความทุกข์ มาตรฐานของคนแบบเราๆ คือการที่พบว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น ตัวผมเองก็เคยตกอยู่ในภาวะแบบเดียวกันเมื่อผมพย าย าม เอาชีวิตตัวเองไปเทียบกับคนรอบข้าง ทั้งที่จริงๆ แล้ว

การเทียบแบบนี้มีแต่จะทำให้เรากดดัน รู้สึก แ ย่ เพราะท้ายที่สุดเราก็จะพย าย าม มองไปว่าเราด้อยกว่าเขาเรื่องนั้นเรื่องนี้ (หรือถ้าใครดีกว่าก็กลายเป็นว่าดูถูกคนอื่นเสียอีก) นั่นยังไม่นับกับการพย าย าม เดินตามคนอื่นๆ จนหลายๆ คนก็ลืมตัวตนของตัวเองไปเลยสำหรับผมนั้น

สิ่งที่ดีคือ การที่เราหาคุณค่าในแบบตัวเราเองแล้ว ขัดเกลามันให้ดีในแบบที่เราเป็น ไม่ต้องไปเทียบว่าคนอื่นเป็นอย่างไรเราต้องไม่ลืมว่าคนอื่นๆ นั้นมีปัจจัยที่ต่างจากเราไม่ว่าจะพื้นฐานครอบครัว ประสบการณ์ ฯลฯ ซึ่งมันไม่แฟร์เลยที่เราจะพย าย าม เอาตัวเราไปเทียบกับเขาเพียงเพื่อจะเอาชนะ (และสุดท้ายก็แพ้อยู่ดี)

4. เลิกดูถูกตัวเอง

สิ่งสำคัญที่ผมมักให้คำแนะนำกับหลายๆ คนที่มาปรึกษาผมหรือ ผมไปปลอบเขาในวันที่รู้สึก แ ย่ ๆ คือการบอกว่าอย่าดูถูกตัวเองหรือรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า เพราะนั่นจะทำให้เราปิดตัวเองอย่างรวดเร็ว และนำไปสู่ภาวะ ซึ ม เ ศ ร้ า ไร้ความมุ่งมั่น และยอมแพ้กับชีวิตเอาได้ง่ายๆ

ผมเองก็เคยผ่านชีวิตช่วงที่คิดแบบนี้มาก่อน ผมบอกได้เลยว่ามันไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีเลยแม้แต่น้อย มันมีแต่ทำให้เรารู้สึกว่าทุกๆ อย่างคงไม่มีอะไรดีตราบใดที่ยังเป็นตัวเราทั้งที่จริงๆ แล้วตัวเราเองก็มีค่าสำหรับหลายๆ คน

และยังสามารถทำอะไรได้อีกมากมาย เพียงแต่เราไป ตี ต ร า มันเพราะความผิดพลาดบางอย่างที่ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ต่อให้ที่ผ่านมาเราจะผิดพลาดอะไรไป มันอาจจะไม่ได้ดั่งใจ มันอาจจะไม่สวยงามแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวันพรุ่งนี้มันจะ แ ย่ แบบนั้นตลอดไปมันอยู่ที่เราจะเริ่มเปลี่ยนแปลงและทำให้มันดีขึ้นไหม

คนจำนวนมากผิดพลาดอยู่ไม่น้อย ลองผิดลองถูกก็เยอะแต่เพราะการพย าย าม ที่จะไปสู่สิ่งที่ดีกว่ามันค่อยๆ เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาทีละเล็กทีละน้อยซึ่งนั่นต่างจากการเอาแต่คิดว่าอะไรๆ ก็ แ ย่ และไม่ทำอะไรให้ดีขึ้นมาเลย

5. เลิกคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว แน่แล้ว เจ๋งแล้ว

การที่ชีวิตเราจะดีขึ้นได้ มันก็ต้องเกิดจาการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตของเรา หนึ่งในนั้นคือทักษะความสามารถและ ทัศนคติต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้หากเราเอาแต่คิดว่าเราเก่งแล้ว ดีแล้ว ไม่ต้องพัฒนาแล้วเป็นแน่จากประสบการณ์ของผมนั้น

การเปลี่ยนทัศนคติ การเพิ่มทักษะและความสามารถตัวเองแม้ว่าจะไม่ได้เยอะมากแต่ก็สร้างการเปลี่ยนแปลง ให้กับชีวิตพอสมควรเช่นถ้าเราคิดว่าเรายังรู้ไม่พอ ยัง อ ย า ก รู้ เพิ่มเติม เราก็จะเริ่มใช้เวลากับการหาความรู้ใส่ตัวมากขึ้น แม้จะไม่เยอะมากแต่มันก็ค่อยๆ สะสมไปเรื่อยก่อนที่เราจะพบว่าเรามาไกลจากจุดเดิมพอสมควร

ซึ่งนั่นจะไม่มีวันเกิดขึ้นเลยถ้าเราคิดว่า “พอแล้ว”การทำตัวน้ำเต็มแก้วเป็นสิ่งที่เราถูกเตือนมาตั้งแต่เด็ก เป็นแง่คิดที่เราถูกปลูกฝัง มาแต่ไหนแต่ไร อย่างไรก็ตามมันก็ดูจะถูกลืมโดยเฉพาะเมื่อเราโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ยิ่งถ้าประสบความสำเร็จก้าวหน้า ได้รับตำแหน่งใหญ่ๆ โตๆ แล้ว

ความสำเร็จเหล่านี้กลายเป็นภาพที่ทำให้เราหลงไปว่าเราเก่งแล้ว มาไกลเพียงพอแล้วซึ่งในไม่ช้ามันก็จะกลายเป็น กับ ดั ก ให้ตัวเราหลุดออกจากเส้นทางการพัฒนาตัวเองนั่นแหละ ฉะนั้นแล้วลองปรับความคิดดูว่าเรายังไปได้อีก

ยังเก่งได้อีก ยังรู้ได้มากขึ้นอีก แล้วหาทางที่จะไป “ได้อีก” ดูสิครับแล้วคุณจะเริ่มเห็นว่าชีวิตของเราเปลี่ยนวิธีคิด และวิธีมองโลกรอบๆ ตัวเราพอสมควรเลยทีเดียว

ขอขอบคุณ B o d h i s a t H e a r t , นุ ส น ธิ์ บุ ค ส์

Load More Related Articles
Load More By verrysmiles smiles
Load More In ข้อคิดดีๆ

Check Also

6 คำถามดีๆ ที่พ่อแม่ควรถาม ก่อนลูกจะนอน

หลังจากเด็กๆ ทำกิจกรรมมาทั้งวัน เวลาพักผ่อน ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ จะสามารถแส…